วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยว : ภูแผงม้า (ตอนที่ 3)


เดินทางมาถึงจุดทางแยกที่จะขึ้นไปจุดสูงสุด กับเส้นทางไป อบต.วังบาล โดยเบื้องหน้าจะเป็น อบต. และหมู่บ้าน ซึ่งจะมีชาวดินไปกางเต้นท์กันเยอะ ส่วนทางขวาของภาพจะเป็นถนนที่ไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูทับเบิก ที่นั่นก็มีชาวดินไปกางเต็นท์เหมือนกัน
แม่ค้าตัวน้อย
เส้นทางไป อบต.วังบาล
เราขึ้นไปจุดสูงสุดกันดีกว่า”  ผมตัดสินใจไม่ไปทาง อบต. เพราะเราจะต้องเดินทางไปที่ ภูแผงม้า กันอีก
คนเยอะเหมือนกันคู่ชีวิตเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
สถานที่กางเต้นท์ก็จัดไว้เป็นแบบขั้นบันได เลือกเอาตามใจ แต่ตรงนี้เหมือนจะมีห้องสุขาไม่กี่ที่นะครับ ค่าบริการเห็นเขียนไว้ 5 บาท
ไป เราไปถ่ายรูปคู่กันที่ป้ายภูทับเบิกผมชวนกันเดินขึ้นไปหลังจากที่เราหาที่จอดรถได้แล้ว

ยุทธ ถ่ายให้หน่อยครับ
ครับ พี่
ส่วนเบื้องหน้าของเราจะเป็นอาคารดังรูป
เดี๋ยวผมไปรอที่รถนะ”  ปล่อยให้มือกล้องเค้าหาวิวถ่ายรูปกัน พอได้เวลาเราก็เดินทางไป ภูแผงม้า
พอมาถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง ที่ อุทยานแห่งชาติภูหินล่องกล้า
"สามคนครับ"
"ร้อยห้าสิบบาทครับ" เสียงเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาพร้อมกับส่งบัตรผ่านมาให้
"ที่ภูแผงม้า มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลหรือเปล่าครับ"
"ไม่มีครับ"
"เอาแล้วไหมล่ะ" ผมนึกในใจ
"คือว่าจะไปกางเต้นท์น่ะครับ เห็นข้อมูลจากเน็ตว่าให้กางเต้นท์ได้" ผมสอบถาม
"กางไม่ได้หรอกครับ ไม่มีน้ำ ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล"
"กรรม เอาไงดีวะเนี่ยะ" นึกไม่ถึง
"ข้างในอุทยานมีที่กางเต้นท์ไหมครับ"
"มีครับ ตรงที่...มาอ่านข่าวไงครับ" เจ้าหน้าที่ขยายความทันที
"เออ  ครับ ผมไม่เคยดูเลยครับ  ขอบคุณครับ" ว่าแล้วก็ขับไปคิดไปว่าจะเอาไงดี
"เอาไงดี" ผมถามสมาชิก
"แล้วแต่ป๋า"
"แล้วแต่พี่ครับ"
"งั้นที่อุทยานแล้วกัน"  เซ็งกับข้อมูลที่ได้มาจากเน็ตเหมือนกัน
ขอย้อนกลับไปที่ข้อมูลจากเน็ต เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง  เฮ้อ!

ระหว่างทางเราเห็นหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ภรก. 7 (น้ำตกหมันแดง) เลยเข้าไปสอบถาม
"พี่ครับ ที่นี่กางเต้นท์ได้ไหมครับ" ผมตะโกนถามจากในรถ
"ได้ครับ แต่ที่นี่ไม่มีไฟฟ้านะครับ"
"ที่อุทยานจะสะดวกกว่า นักท่องเที่ยวเยอะดีครับ" เจ้าหน้าที่อีกคนกล่าวสมทบ
"ขอบคุณครับ แต่ว่ากางที่นี่ก็ได้ใช่ไหมครับ" ผมยังไม่เลิก
"ได้ครับ"
"แล้วมีเจ้าหน้าที่อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ"
"มีครับ"
"ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในที่ทำการอุทยานฯ ถ้าไงคนเยอะ ผมขออนุญาต มากางเต้นท์ที่นี่นะครับ"
"ได้ครับ แต่ที่ไม่มีไฟฟ้านะครับ"
"ครับ"  ว่าแล้วก็ขับไปที่ทำการอุทยานฯภูหินล่องกล้า ซึ่งห่างจากที่นี่ประมาณ16 กม
พอถึงจุดกางเต้นท์ที่ทำการอุทยานฯ
"คนเยอะเหมือนกัน" ทีกางเต้นท์กว้างขวาง มีทั้งแบบลานกลางแจ้ง ลานใต้ต้นไม้ แถมยังมีเต้นท์ และอุปกรณ์ต่างๆให้เช่า สะดวกสบายมาก ห้องน้ำ-ห้องสุขา ก็เยอะดี
"เอาไงดี" ผมถามสมาชิก
"แล้วแต่ป๋า"
"แล้วแต่พี่"
"งั้นกลับไปที่หน่วยเมื่อกี้นะ"
"ทำไมล่ะ ป๋า" คู่ชีวิตถาม อีกอย่างตอนนี้ก็ประมาณห้าโมงเย็นแล้ว
"ไม่อยากนอนฟังเสียงคนเมา แล้วก็ไม่อยากฟังเสียงเพลงจากรถ" ผมเห็นอยู่คันนึงเปิดเพลงเผื่อคนอื่นแล้วก็นั่งคุยกันไป และก็ไปแน่ใจว่าหลังสี่ทุ่มคนส่วนใหญ่จะเคารพกฎกติกากันหรือเปล่า เพราะเคยเจอที่เขาใหญ่ ตรงจุดลำตะคลอง มันกินเหล้านั่งคุยกันยันตีสามระหว่างนั้นก็มีคนมาขอร้องหลายครั้ง เบื่อพวกนี้มาก
ทุกคนก็ขึ้นรถ แล้วขับกลับไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ภรก. 7 (น้ำตกหมันแดง) เจ้าหน้าที่เห็นเราต่างก็ยิ้มรับ
"ตามสบายนะครับ ขาดเหลืออะไรบอกได้"
"ขอบคุณค่ะ"
ยังไม่ทันขนของลงจากรถก็เจอเจ้าตัวนี้
"โคล่า อย่าซนนะ"  เสียงเจ้าหน้าที่เตือน
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"มันมีอีกตัวครับ ชื่อ ทาโร่ เดี๋ยวคงจะมา" เจ้าหน้าที่บอก
เรารีบจัดเตรียมมื้อเย็นกัน
มื้อนี้มีสเต็กมานั่งย่างกัน และดอกกระหล่ำ แครอทของชาวดอย ต้นหอม ผักชี ซึ่งเรานำบางส่วนก็นำมาต้ม น้ำจิ้มสเต็กใช้ซอสพริกศรีราชา แบบเผ็ด ตบท้ายด้วยผลไม้นิดหน่อย
"มีใครจะกินข้าวไหม"
"....."
"งั้นแค่นี้พอนะ เดี๋ยวถ้าไม่พอค่อยว่ากันใหม่"
พอค่ำๆ พี่เจ้าหน้าที่ก็ลากไฟแสงสว่างมาให้ คือเค้าใช้เครื่องปั่นไฟ คาดว่าสี่ทุ่มคงจะปิดเหมือนกับอุทยานอื่นๆ   อ้อ..ลืมบอกไปเราเตรียมไฟฉาย ไฟแสงสว่างกันไปด้วย เรียกว่า กินกันไป คุยกันไป
"ดูเจ้าตัวข้างๆ ดิ  มันเกาะแน่นเชียว!"
พอ สองทุ่มกว่าเราก็แยกย้ายกันไปนอน อากาศหนาว ทั้งที่ใส่เสื้อกันหนาว ใส่ถุงเท้านอน ยังให้หนาว จนต้องโผล่มาแค่จมูก
พอตอนเช้าคู่ชีวิตเห็นเจ้าทาโร่มานั่งสั่นเพราะความหนาว เลยจับขึ้นมาอุ้ม ปรากฏว่ามันชอบมาก นิ่งสนิท แบบว่าแลกไออุ่นระหว่างคนกับหมา 555
10 องศาสำหรับอากาศตอนเช้านี้
"หาอะไรแก้หนาวดีกว่า"
"....." แบบว่าน้ำเปล่าอ่ะ
"สตา บัก ก็  สตา บัก เถอะ"
มาดูเจ้าบุญชูครับ




แล้วก็ดอกไม้หลังที่ทำการฯ ไม่อยากระบุว่าดอกอะไร
สถานที่ ที่เรากางเต้นท์
รวมระยะทางที่เราวิ่งกันมา 509 กม
พอเก้าโมงเช้า เก็บของขึ้นรถกลับไปที่อุทยานฯ กินข้าวเช้าที่ร้านค้า ข้าวราดแกง 2 อย่าง ราคา 50 บาท แยกย้ายทำธุระส่วนตัว ผมมานั่งดูแผนที่ที่โหลดจากเน็ต เพราะขากลับเราจะกลับทางอำเภอนครไทย ไม่ไปทางภูทับเบิก
ขากลับเราแวะเติมพลังกันที่ร้านบัวตอง ตรงแยกวิเชียรบุรี

อาหาร กับข้าว ที่นี่ราคาไม่แพงครับ เสร็จเรียบร้อย เราก็กลับบ้านกันและก็ขอลากันด้วย
ภาพของเจ้าทาโร่  หมาน้อยที่เพิ่มสีสันในการพักแรม

=^-^=





เที่ยว : ภูแผงม้า (ตอนที่ 2)


เราแวะกินมื้อเที่ยงที่อำเภอหล่มสักบริเวณริมถนนที่จะมุ่งหน้าไปหล่มเก่า


มาถึงถิ่นขนมจีนก็ต้องมากินขนมจีน ร้านนี้ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว มาถึงก็นั่งประจำที่กันเลยเพราะหิวครับ

ทางร้านเค้าจะเตรียมอาหารเป็นชุดครับ มีน้ำพริก , น้ำยากะทิ , น้ำยาป่าและผักสด เป็นของยืนพื้น ส่วนขนมจีนจะมีจานเล็ก , กลาง และใหญ่
สามคน สั่งจานไหนดีครับผมถามพนักงาน
จานใหญ่ค่ะ
งั้น ตามนั้นครับ
ของกินเสริมสำรับจะมีหมูปิ้ง 1 ถุง , แหนม , ไข่ต้มและห่อหมกหมู ซึ่งของเสริมนี้กินเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น ถ้าไม่ได้กินก็ไม่ต้องจ่ายนะครับ
“ป๋า ลุยเลย” สัญญาณของการเริ่มต้น
ของผมเริ่มต้นที่น้ำยาป่าครับ
อันนี้เค้าบอกห่อหมกหมู แต่ผมกินไปมันเหมือนกินแหนมครับ
ชามนี้ของ....อร่อยดีครับ
เก็บตังค์ครับเรียบร้อย
มีไข่ต้มไหมคะ
ไม่มีครับ มีห่อหมก 2 ห่อ หมูปิ้ง 1 ถุง ขนมจีนจานใหญ่ น้ำ น้ำแข็ง
สองร้อยสิบบาทค่ะ
นี่ครับ  เออ ทางนี้ไปภูทับเบิกหรือเปล่าครับผมชี้มือไปที่ถนนทางไปอำเภอหล่มเก่า
มีป้ายบอกตลอดทางค่ะ
ขอบคุณครับ
ผมเองก็หาโหลดแผนที่มาจากเน็ต 2 3 แผ่น ด้วยความที่เชื่อว่าถามคนในพื้นที่เลยจะดีกว่า
ไปภูทับเบิกทางนี้หรือเปล่าครับหลังจากขับมาได้สักพัก ไม่เห็นมีป้ายบอกเลย จึงจอดรถลงไปถามร้านค้าริมถนน
ไปได้สองทางค่ะ ตรงไปเจอไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับไปเรื่อยๆ เจอไฟแดงอีกให้เลี้ยวขวา
เออ  ครับ
อีกทางนึง กลับรถไป ขับไปจนเจอไฟแดงแล้วเลี้ยวขวา พอเจอไฟแดงอีกอันก็ขับตรงไป
ขอบคุณครับ
มีป้ายบอกตลอดทางค่ะ
ครับ  ขอบคุณครับผมตัดสินใจขับตรงไป แล้วก็เจอไปแดงตามที่พี่เค้าบอกจริงๆ ทำตามเจ้าถิ่นบอก ขับไปเรื่อยๆ
เจอแล้ว!”
หลังจากเราเลี้ยวโน่น เลี้ยวนี่ ก็จะเจอหลักกิโลอันใหญ่ๆ
เย้ ! ในที่สุดก็มาถูกทางแล้ววววสมาชิกส่งเสียงลั่นรถเลย หลังจากหลงทางอยู่สักพัก
อากาศเย็นสบายดีครับ เราปิดแอร์ เปิดกระจก ลืมบอกไปว่าเรามาถึงตรงจุดนี้ก็ประมาณบ่ายสองกว่าๆ วันนี้แทบจะไม่เจอแดดเลย
ขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ ถนนลาดยางมะตอยตลอดเส้น ขับไต่เขาเรื่อยๆ บางช่วงชัน บางช่วงโค้งหักศอก  ส่วนใหญ่ผมใช้เกียร์ L ครับ สลับเกียร์ D บ้างเป็นบางช่วง
(ฝีมือของยุทธ เพื่อนร่วมทางครับ)

พักถ่ายรูปกันหน่อยดีกว่าพอถึงจุดพักข้างทางเราก็จอด
มีของขายด้วยครับ
ตรงนี้เหมือนจุดพักรถไปโดยปริยาย ผมเองก็คิดว่าทางข้างหน้าคงต้องขับไต่เขาอีกนาน
แครอท ขายยังไงคะคู่ชีวิตผมถามแม่ค้าชาวดอย
ถุงละสิบบาท
เอาถุงนึงค่ะ
เป็นการประชันกันระหว่างชาวดินกับชาวดอย
เด็กๆเค้าสนุกสนานครับ
อากาศเย็นสบายครับ
พอจะมีแสงแดดบ้างเป็นบางช่วง
(มีต่อตอนที่ 3 ครับ)






เที่ยว : ภูแผงม้า (ตอนที่ 1)


ไปกางเต้นท์กันไหมผมถามคู่ชีวิต
ไปเมื่อไหร่ ที่ไหนล่ะ
เสาร์ที่ 21 22 นี้นั่นหมายถึงเดือนมกราคม 2555 ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวแบบนี้กัน ประมาณปีกว่าๆแล้ว
ป๋า..ยังไม่บอกเลยว่าจะไปที่ไหน
ภูแผงม้าผมตอบ
เขาแผงม้า วังน้ำเขียวหรอ
ไม่ใช่  ภูแผงม้า แถวๆ ภูทับเบิกไง
แล้วภูทับเบิกมันอยู่ที่ไหน
แถวๆ เพชรบูรณ์ พิษณุโลกโน่น”  ผมตอบแบบผ่านๆ
ไปดิ
เดี๋ยวโทร ชวนยุทธไปด้วยเน๊าะหมายถึงเพื่อนที่เรามักจะชวนไปเที่ยวด้วยกันเสมอๆ
….
อยากไปเที่ยวมานาน แต่ก็พยายามจะหาสถานที่ แบบเงียบๆ เบื่อพวกกินเหล้าคุยเสียงดัง  ครอบครัวสุขสันต์เสียงดังหลัง 4 ทุ่มหรือปลอดนักหอนคาราโอเกะ
แม่ง เสียงยิ่งกว่าหมาเยี่ยวใส่สังกะสี เสือกมา เห่าหอนอวดชาวบ้าน”  อ้าว บ่นจนได้
 พอดีเจอข่าวว่ามีที่เที่ยวแห่งใหม่ แล้วค้นหาในเน็ตก็แทบจะยังไม่มีใครไปถ่ายรูปมาอวด ตกลงที่นี่แล้วกัน
ภูแผงม้า
ว่าแล้วก็วางแผนเดินทางคร่าวๆ คือเริ่มจากลำลูกกา คลอง 3 แล้วไปรับเพื่อนที่หลักสี่ ใช้เส้นทาง สระบุรี พอถึงแยกพุแค จะมีทางแยกไปลพบุรีกับหล่มสัก เลือกไปทางหล่มสัก (ถนนหมายเลข 21)
แล้วขึ้นไปดูวิวที่ภูทับเบิก จากนั้นค่อยไปกางเต้นท์ที่ ภูแผงม้า
พอเย็นวันศุกร์ที่ 20 ก็จัดข้าวของขึ้นรถ เพราะเราจะออกจากกรุงเทพฯประมาณ ตีห้า


นอนไม่ค่อยหลับ แบบว่าตื่นเต้นจะได้ไปเที่ยว จนตีสามก็ลุกขึ้นมาเตรียมของ ตรวจสอบความพร้อม พอประมาณตีสี่ก็ปลุกคู่ชีวิต เตรียมตัวกัน  กะว่าตีห้ากว่าๆจะออกไปรับเพื่อนที่หลักสี่
ดูอาหารแมวแล้วก็น้ำด้วยนะ ผมบอกคู่ชีวิต
เดี๋ยวที่เหลือจัดการเอง
แบบว่าเราจะหนีแมวเที่ยว จึงต้องเทอาหารและน้ำ ให้พอกิน 2 วันกับอีกหนึ่งคืน ดูเรื่องไฟฟ้า เตาแก๊ส หน้าต่าง ประตู
ยุทธ ผมรออยู่ตรงริมรั้วแฟลตแล้วนะ
ครับพี่ เดี๋ยวลงไปเลยครับ
…..
เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ไปกันเลย
ไป  บุญชู ไปเที่ยวกันรถยนต์ของเราชื่อ บุญชู




ทั้งนี้เพราะว่าสีของรถเหมือนกับแมวของเราที่ตายไปแล้ว เลยตั้งชื่อเป็นชื่อเดียวกันซะเลย
(มีต่อตอนที่ 2 ครับ)